รีวิว HYPERX ALLOY ORIGINS Mechanical Gaming Keyboard Blue Clicky

     เมื่อพูดถึง Gaming Keyboard ยุคนี้คงเป็นอะไรไม่ได้สำหรับเกมเมอร์ในบ้านเราที่ของมันต้องมีอยู่แล้ว…. การพิจารณาในการเลือกซื้อส่วนใหญ่แล้ว ก็คงไม่พ้นการเลือกดูชนิดปุ่มกดว่าเป็นแบบ Mechanical หรือป่าว และจากนั้นก็เลือกดูชนิดปุ่มกดว่าต้องการ Switch สีอะไร นั่นก็บอกถึงน้ำหนักแรงกดของนิ้วมือนั่นเอง และสีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่มเกมเมอร์ ส่วนมากแล้วจะเป็นการเลือก Blue Switch กันเสียส่วนใหญ่ เพราะมันไม่ได้ลั่นเร็วเกินไป และเป็น Switch ที่เหมาะกับการพิมพ์งานมากด้วยนั่นเอง กล่าวคือช่วยให้เราพิมพ์งานสะดวกขึ้นจริง ไม่ลั่นเร็วเกินไป ซึ่งผมเองก็เน้นงานเขียนรีวิวงานพิมพ์อยู่แล้ว…. อย่างไรผมก็เลือก Blue Switch เพราะได้ทั้งงานและการเล่นเกมที่ผมชอบ ได้แก่เกมแนว FPS. เป็นหลัก ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละท่านด้วยว่าถนัดปุ่มกดแนวไหน…

     จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้เป็นคนซีเรียสอะไรมากนักสำหรับการเลือกใช้ Keyboard อันดับแรกของอย่างเดียวคือ… ความทนทาน และตอบสนองไว ปุ่มไม่ลั่นไม่ไวเกินไป… หรือจะมีไฟ RGB มาเสริมด้วยก็ดีครับ อิอิ… เข้ากับยุคนี้… หลักๆ ผมเน้นความทนทานและอัตราการตอบสนองที่ดีในการเล่นเกมและพิมพ์งาน และสำหรับวันนี้ก็เป็น Mechanical Keyboard อีกหนึ่งรุ่นที่ผมได้มารีวิวจากทาง HyperX และน่าจะเป็นครั้งแรกที่เลยที่ผมได้สัมผัสจากค่ายนี้…. ในรุ่น HYPERX Alloy Origins Mechanical Gaming Keyboard

 

     เรื่องของลูกเล่นที่น่าสนใจ HyperX Alloy Origins รุ่นนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นการเลือกใช้ปุ่มกดของ HyperX เองที่เป็นกดสีน้ำเงิน Blue Switch เรียกว่า Clicky และเลือกใช้วัสดุของตัวเรือนที่มีความแข็งแรงและทนทานสูง “Aircraft-grade” แบบเดียวกับที่ใช้ในอากาศยาน นั่นคือ “อลูมิเนียมอัลลอย” เกรดดี มีความแข็งแรงเป็นพิเศษ ทนการกัดกร่อนสูง และมีน้ำหนักเบา จึงเป็นที่มีของ Gaming Keyboard ตระกูล Alloy series นั่นเอง…

 

อุปกรณ์ Bundle ต่างๆ ที่แถมมากับ HyperX Alloy Origins ซึ่งจะสังเกตุได้ว่ารุ่นนี้ถอดสายได้ และมีหัวเสียบเข้าแบบ USB Type-C ด้วยนะครับ น่าสนใจ….

 

ตัวเรือนหรือ Body หลักจะเป็นสีดำด้านทั้งตัว โดยเลือกใช้วัสดุที่มีความทนทานเป็นพิเศษคือ อลูมิเนียมอัลลอย “Aircraft-grade”

 

Keyboard รุ่นนี้เป็นขาด Size ยาวมาตราฐานทั่วไปเลยนะครับ คือมีปุ่มกดของ Numpad ให้ใช้อยู่ทางด้านขวามือ

 

 

ตัวเรือนของ Keyboard นั้นค่อนข้างสั้น และไม่มีที่รองข้อมือนะครับ และเป็นปุ่มกดแบบมี ภาษาไทย ให้เรียบร้อย…

 

ถ้าถามว่าต่างกับ Alloy series รุ่นอื่นตรงไหน ลองดูจากตารางนี้ได้เลยครับ ซึ่งทำออกมาทั้งหมด 6 รุ่นด้วยกัน ซึ่งที่เรารีวิวอยู่นี้คือรุ่น Alloy Origins มีปุ่มกดให้เลือกซื้อ 3 แบบด้วยกันได้แต่ HyperX Red/Aqua และ Blue โดยขนาด Form Factor ก็เป็นมาตราฐานแบบ Full Size แบบที่เราได้แนะนำไป

 

สีของปุ่มกดที่เราได้มาเป็นแบบ Blue Switch หรือที่ทาง HyperX เรียกว่า Clicky น่าจะมาจากเสียง click ของปุ่มกดสีน้ำเงินนั่นล่ะครับ…

 

HyperX Blue Switch ที่มาพร้อมกับหลอด LED RGB ที่มีความสว่างค่อนข้างแรงดีเป็นพิเศษ

 

ชนิดของปุ่มกดต่างๆ ของทาง HyperX นั้นจะมีทั้งหมด 3 สีด้วยกันคือ Red/Aqua และ Blue โดยปุ่มสีน้ำเงินนั้นจะมีแรงกดอยู่ที่ 50g ซึ่งการมีน้ำหนักแรงกดเท่ากับของทาง Cherry MX Blue/ RGB Blue เลยล่ะครับ ลองเทียบดูตารางคุณสมบุติของปุ่มแบบต่างๆ ดูกันครับ… โดยจุดแตะของ Switch เมือกดนั้นดูเหมือนของ HyperX จะสั้นกว่าครับ…

 

บริเวณด้านหลังของ Keyboard นั้นจะเป็นแผ่นเรียบๆ เลยล่ะครับ

 

ฉลากรุ่นของ Keyboard รุ่นนี้อยู่ระบุไว้ด้านหลัง HyperX Alloy Origins หรัส HX-KB6BLX-TH ใช้ไฟเลี้ยงจาก USB 5V อัตราการกินกระแสไฟอยู่ที่ประมาณ 500mA

 

ปรับระดับความเอียงของ Keyboard ได้ถึง 3 ระดับคือแบบเตี้ยสุด จะอยู่ที่ 3 องศา และการยกขาตั้งขึ้นจะมีให้เลือกอีก 2 ระดับคือ 7 และ 11 องศาตามลำดับ

 

ตัวอย่างการเสียบสาย USB2.0 Type-C เข้าที่ตัวเรือนครับ ซึ่งสายที่ให้มายาว 1.8 เมตร และมีความแข็งแรงดีครับ ไม่พับหรือหักงอง่าย ผมว่า Ok เลย เพราะชอบสายแข็งๆ หน่อยจะได้ทนต่อการพับ/การเก็บสาย

 

โดยรวมแล้วหน้าตาและการเสียบสาย USB ใช้งานก็จะตามภาพที่เห็นนี้เลยครับ โดยรวมแล้วก็ OK มันเป็น Keyboard ที่ไม่ใหญ่มากนัก ค่อนข้างแคบเสียด้วยซ้ำ ช่วยให้ประหยัดพื้นที่เวลาวางบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ ส่วนน้ำหนักของตัว Keyboard อยู่ที่ 1075g หรือหนึ่งกิโลกรัมกว่าๆ

Dimensions

Width 442.5 mm
Depth 132.5 mm
Height 36.39 mm
Weight (Keyboard and cable) 1075 g

 

ลองเอามือทาบลงไปยังปุ่ม WASD ก็จะประมาณนี้ครับ

 

ปุ่ม FN อยู่ตรงนี้นะครับเพื่อต้องการกด Function ต่างๆ และการปรับเปลี่ยนสีไฟ RGB ของตัว Keyboard

 

เปิดเครื่องดูแสงสี RGB ของ HyperX Alloy Origins ตัวนี้กันเลยดีกว่าครับ ซึ่งการตั้งโหมดการทำงานของไฟ RGB นั้นเดิมๆ จะให้มาแบบ Wave Mode เป็นไฟ RGB แสดงสลับสีกันไปเป็นคลื่น วนไปทางขวามือ

 


System Test

สำหรับชุด System ที่เราใช้ต่อใช้งานเล่นเกมและทดสอบในครั้งนี้คือ CPU Intel Core i9-10900K 10C/20T @5.0Ghz/Cache 4.8Ghz All Core 1.25V ต่อกับเมนบอร์ด ROG MAXIMUS XII APEX แรม 32GB DDR4-4133CL18-24-24-42 + Tight Sub-timing และกราฟิกการ์ด TUF GAMING RTX 3070 OC 8GB

 

HYPERX NGENUITY

ตัว Software ปรับแต่งของตัว Kyboard ที่ให้มานั้นก็จะใช้ตัว HYPERX NGENUITY เป็นตัวควบคุม ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับอุปกรณ์ Gaming Gear อื่นๆ ของ HyperX ได้ด้วยเช่นกัน โดยการใช้งานหลักๆ แล้วก็เอาไว้เข้ามาทำการปรับแต่งแสงสีไฟ RGB แบบ Custom | เลือกเปิดใช้งานปุ่มของ Game Mode เพื่อปิดการใช้งานของปุ่มกดแบบชุดที่รบกวนต่อการเล่นเกม “Blocked Keys”

 

ปรับแต่งปุ่มกดต่างๆ บน Keyboard ได้ทุกปุ่มเลยนะครับ แม้แต่การตั้ง Macro Key ก็สามารภทการบันทึกได้ด้วยเช่นกัน

 

รูปแบบการแสดงของแสงสี RGB แบบต่างๆ

 

เราสามารถปรับแต่งค่าของอุปกรณ์ต่างๆ ของ HyperX ได้ทุกตัวที่เสียบใช้งานทั้ง Gaming Mouse และ Gaming Keyboard

 

ในส่วนของหน้า Setting นั้นสามารถเอาไว้ตรวจเช็คการ Update ของ Software และตัว Firmware ของ Hardware ได้อีกด้วย

 

Game Test : Call of Duty Modern Warfare Multi-Player

     มาพูดถึงอารมณ์ความรู้สึกใช้งานจริงของ HyperX Alloy Origins Blue Switch รุ่นนี้กันเลยดีกว่าครับ ซึ่งหลักๆ ผมขอพูดถึงส่วนของในการเล่นเกม COD MW เป็นหลักนะครับ เพราะเล่นเกมนี้ประจำอยู่เกมเดียวจริงๆ ในช่วงนี้….  ความรู้สึกของการกดปุ่ม Blue Switch ของรุ่นนี้ จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้รู้สึกต่างอะไรกับ Blue Switch ค่ายอื่นมากในช่วงแรกๆ คือกดแล้วมีเสียง Click และหนักตอนกดก็อยู่ประมาณ 50g ก็ไม่ได้นั่มจนเกินไป เวลาบังคับตัวละครก็ยังทำได้ดีครับ

     ส่วนการตอบสนองนั้นไว ไม่มีกดหลายปุ่มพร้อมๆ กันก็ไม่มี ghosting แน่นอน  โดยรวมแล้วก็คือว่า OK นะครับแต่ปุ่มจะกดลงสั้นกว่าปุ่มรุ่นอื่นๆ นิดหนึ่งเพราะทาง hyperX ทำปุ่มเองให้มีระยะกดที่ค่อนข้างสั้น ไม่ต้องกดลึกมาก ส่วนเสียงกด Swtich นั้นมีเสียง Click ที่แสดงออกมาได้ชัดเจนแบบเดียวกับ Blue รุ่นอื่นๆ แต่เสียงตอนกดปุ่มลงสุดนิ้วแล้วจะไม่ได้กระแทกมาก ค่อนข้างเก็บเสียงได้ดีระดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับของค่ายอื่นที่ผมใช้อยู่ประจำที่เป็น Blue Switch เหมาะกัน จะเสียงดังกว่าเวลากดปุ่มสุดแล้ว…  เอาล่ะครับ โดยรวมแล้วผมว่าก็ OK อยู่นะ เพราะผมใช้ Blue มาตลอด  แต่ที่ไม่ค่อยคุ้นมืออย่างเดียวคือ เวลาใช้ Keyboard ที่ไม่มีที่รองข้อมือ ผมจะไม่ค่อยขนัดเท่าไร ดังนั้นใครมีปัญหาไม่ชินแบบนี้ คงต้องหาที่รองข้อมือมาวางเสริมดูครับ เผื่อจะเล่นเกมได้สบายขึ้น…

 

Conclusion.

     เอาล่ะครับมาสรุปกันเลยดีกว่าสำหรับ HYPERX Alloy Origins Mechanical Gaming keyboard ตัวนี้ซึ่งที่ผมได้มารีวิวเป็นปุ่มสีน้ำเงิน Blue Switch Clicky ที่ได้รับความนิยมสูงในกลุ่มของเกมเมอร์บ้านเรา สามารถใช้ได้ทั้งการเล่นเกมและพิมพ์งานได้เป็นอย่างดี  สิ่งที่ผมชอบเลยจริงๆ ก็คือความแข็งแรงของตัวเรือน Body หลัก ที่เลือกใช้วัสดุแบบเดียวกับที่ใช้ในอากาศยาน “Aircraft-grade”  นั่นคือ “อลูมิเนียมอัลลอย” จับดูก็รู้ครับ งานดีแน่นอน… น้ำหนัก 1075g

     ส่วนเรื่องอามรณ์ความรู้สึกของปุ่มกด Blue Clicky ตัวนี้ก็ไม่ได้แข็งมาก เสียงก็ไม่ได้ดังเวอร์ เวลากดลงสุด ค่อนข้างเงียบเวลากระแทกลงสุดนิ้ว… แต่โดยรวมแล้วผมก็ยังมองว่ามันก็คือ Blue Switch นั่นล่ะครับ วัดกันที่ความทนทานดีกว่า อันนี้ผมให้ความสำคัญเสียมากกว่า…. โดยทาง HyperX เคลมไว้ว่า ปุ่มของเขาออกแบบมาให้กดได้ถึง 80 ล้าน click กันเลยทีเดียว อันนี้ก็คงต้องวัดใจกันในระยะยาวว่า ทนจริงไหม ???

     เรื่องของแสงสี RGB นั้นก็มีโหมดพื้นฐานให้ปรับแต่งมากกมายพอสมควร ซึ่งเราจะต่อลง Software ปรับแต่ง Function ต่างๆ หรือจะกดแค่ปุ่ม FN +… ก็ได้สำหรับ Function พื้นฐาน แต่ถ้าต้องการเชิงลึกและการปรับแต่ง Macro ก็จำเป็นต้องลง HYPERX NGENUITY ช่วยในการปรับแต่งครับ  สุดท้ายนี้หากใครกำลังมองกา Gaming Keyboard จากค่าย HyperX คุณภาพดี มีความทนทาน ก็ลองพิจารณาดูกันได้ สวัสดีครับ ^^”

 

Special Thank

HYPERX