รีวิว HyperX Pulsefire Haste Ultra-Lightweight Gaming Mouse

     สวัสดีครับ วันนี้ Clock’EM UP มีเกมมิ่งเม้าส์ สุดเบาหวิวจากค่าย HyperX มาแนะนำกันอีกหนึ่งรุ่น นั่นคือรุ่น HyperX Pulsefire HASTE Ultra-LightWeight Gaming Mouse ซึ่งเป็นเม้าส์สำหรับเล่นเกมที่ออกแบบมาให้เบาเป็นพิเศษ เพราะช่วงนี้เทรนด์กำลังมาสำหรับ เม้าส์น้ำหนักเบา “LightWeight” เน้นเบาเป็นพิเศษ โดบรุ่นนี้มีน้ำหนักเพียง 59g เท่านั้นเอง หรือจะบอกได้ว่า เป็นเม้าส์ในรุ่นของ HyperX Pulsefire Series ที่เบาที่สุดแล้วก็ว่าได้…

Features

    • Ultra-light hex shell design
  • HyperFlex USB Cable
  • TTC Golden micro dustproof switches
  • Pure virgin-grade PTFE Skates
  • Grip tape included
  • Customizable with HyperX NGENUITY Software
  • Pixart 3335 Sensor
  • Responsive split-button design
  • NVIDIA Reflex compatible

 

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งที่นอกเหนือจากความเบา นั่นคือ Switch ปุ่มกดที่มีความทนทานที่มากขึ้นกว่าเดิม โดยรุ่นนี้เลือกใช้ปุ่ม “TTC Golden” micro dustproof switches ทนทานขึ้นกว่าเดิมเพราะเป็นปุ่มแบบกันฝุ่นละอองเข้าไปใน Switch โดยทาง HyperX บอกว่าไว้ สามารถกด Click ได้มากถึง 60 ล้านครั้งกันเลยทีเดียว

Specification.

     สำหรับ Spec ทางเทคนิคแบบคร่าวๆ นั้นตัวเม้าส์เป็นทรงมือจับแบบสมมาตร “Symmetrical” หรือรูปทรงที่เหมือนกัน สามารถจับได้ทั้งผู้ถนัดมือซ้ายและมือขวา แต่ถ้าดูจากทรงการวางปุ่มกดแล้ว น่าจะเหมาะกับผู้ถนัดมือขวาเสียมากกว่า…   ส่วน Optical Sensor เลือกใช้ ของ Pixart 3335 ความละเอียด 16000 DPI (ความเร็ว DPI ปรับได้หลายระดับ จาก Software) | ความเร็ว 450 IPS | มีค่า Polling Rate 1000Hz (1ms) | น้ำหนัก 59g กรัม | เป็นเม้าส์แบบใช้สาย ถอดไม่ได้ และมีไฟ RGB ปรับแต่งสีสันผ่านโปรแกรม NGENUITY Software

 

มาดูตัวเม้าส์ต่อกันเลยดีกว่าครับกับเจ้า HyperX Pulsefire Haste ซึ่งจะมาพร้อมกับตัว Body สีดำ สร้างขึ้นมาจากวัสดุ Virgin-grade PTFE พร้อกับการหุ้มสายถัก HyperFlex Cable มาให้เรียบร้อย

 

     รูปทรงเม้าส์นั้นเป็นแบบ สมมาตร “Symmetrical” โดยทั้งด้านซ้ายและด้านขวานั้นมีลักษณะที่เหมือนกันทั้ง 2 ด้าน เพียงแต่ว่า ด้านซ้ายจะวางปุ่มกด backward / Forward ไว้ทางด้านซ้ายมือ ดังนั้นผมมองว่ามันเหมาะกับผู้ที่ถนัดมือขวาเสียมากกว่า  แต่ด้วยรูปทรงแบบสมมาตรจึงทำให้ผู้ถนัดมือซ้ายยังสามารถใช้งานได้เช่นกัน

 

 

 

บริเวณปุ่มกดด้านหน้าครับ ซึ่งจะเจาะรูพรุน ไว้ทั้ง 2 ด้าน โดยปุ่ม Swtich กดนั้นเลือกใช้ของ TTC Golden micro dustproof สามารถกันฝุ่นได้ ทนแรงกดได้ 60 ล้านครั้ง

 

     เมื่อความเป็นเม้าส์ที่เน้าความเบาและความคล่องตัวนั้น ตัว Body หลักส่วนใหญ่แล้วจะถูกเจาะเป็นรูทรงรังผึ้งเป็นพื้นขนาดใหญ่บริเวณที่อุ้งมือเราจับ  โดยข้อดีคือน้ำหนักเบา และเป็นการระบายความเหงื่อออกจากอุ้งมือขณะใช้งานไปในตัว ซึ่งส่วนมากเกมเมอร์มักจะใช้เวลาในการจับเม้าส์ค่อนข้างนานวันละหลายๆ ชั่วโมงอยู่แล้ว ดังนั้นใครที่เหงื่อออกมือบ่อย น่าจะชอบสิ่งนี้… ส่วนใครที่เป็นโรคเกลียดรู ก็อาจจะไม่ชอบสิ่งนี้เช่นกัน ^O^

 

มุมมองด้านหน้าอีกด้านครับ  โดยแสดงให้เห็นถึงบริเวณปุ่ม Scroll Wheel และปุ่มกดเปลี่ยนระดับความละเอียดของ DPI โดยรองรับการตั้งค่าจาก Software ได้ความละเอียดต่ำสุดที่ 200 DPI ไปจนถึงสูงสุดที่ 16000 DPI สามารถตั้งได้สูงสุด 5 Setp

 

 

สายเม้าส์นั้นเป็นแบบ USB 2.0 หุ้มสายไฟมาด้วย HyperFlex Cable สีดำพิเศษจากทาง HyperX โดยมีความยาว 1.8 เมตร (น้ำหนักของสาย USB อย่างเดียวอยู่ที่ 80 กรัม)

 

เสริมความกระชับและความคล่องตัวการการจับเม้าส์ด้วย Grip tape เสริมความหนึบมาให้เลือกติดตั้งตามความต้องการของผู้ใช้

 

ส่วนตัวผมแล้ว เลือกติดแผ่นยางทั้งบริเวณด้านซ้ายและด้านขวาเท่านั้น

 

ตรงปุ่มกดก็มีให้นะครับ แต่ผมเลือกไม่ใส่ ใครถนัดแบบไหนก็เลือกติดได้ตามความต้องการ

 

Pure virgin-grade PTFE skates ปุ่มเท้าของเม้าส์แบบไหลลื่นเป็น 100% PTFE skates ทนทานและคล่องตัว โดยแถมมาให้ 2 ชุดนะครับ

 

บริเวณด้านล่างของเม้าส์ กเรายังสังเกตุได้ว่า เขาเจาะรูไว้ด้วยเช่นกัน เพื่อความเบาระดับ 59g

 

เม้าส์รุ่นนี้เลือกใช้ Optical Sensor จากค่าย Pixart 3335 Sensor 16000 DPI

 

System Pic & Setupภาพบรรยากาศในการทดสอบครับ

Hardware Spec.

CPU
 Intel Core i9-11900K 8C/16T
CPU Cooler
 OCPC TurboCool BP-240 CPU AIO Cooler
Motherboard  ROG MAXIMUS XIII APEX (Z590)
Memory
 T-FORCE XTREEM ARGB DDR4-5333CL22 16GB-Kit 1.60V
VGA  PHY XLR8 Geforce RTX 3080 Ti 12GB
Hard Drive  Kingston KC600 SSD 2.5″ 1TB
PSU  Bequiet DARK POWER PRO 1200Watt
Base Test
 “DEFAULT”
OS  Windows 10 Pro 64 bit [Last Update]

 

System Config

      รายละเอียดของชุด Hardware ในการทดสอบของเราในครั้งนี้ครับ ประกอบไปด้วย CPU Intel Core i9-11900K 8C/16T Overclock ไปที่ 5.0Ghz/Cache 4.5Ghz All Core + ROG MAXIMUS XIII APEX (Z590) ทำงานร่วมกับแรม DDR4-5333 CL22-32-32-52 1T 16GB-Kit กราฟิกการ์ดตัวแรงจากค่าย PNY รุ่น XLRB Gaming NVIDIA Geforce RTX 3080 Ti 12GB

Testing

     เอาล่ะครับมาพูดถึงความรู้สึกจากการใช้งานของเจ้า HyperX Pulsefire HASTE ตัวนี้กันเลยดีกว่าครับ โดยต้องบอกเลยว่าสัมผัสแรกคือ เน้นความเบาจริงๆ  ซึ่งช่วงนี้กระแสของเม้าส์สายเบาหวิวแบบนี้ มีออกมาหลายค่ายมาก ซึ่งก็เป็นความชอบของผมเลยพอดี เพราะที่ผ่านมา ค่อนข้างเริ่มชอบเม้าส์ที่เน้นความเบามาอยู่สักพักแล้ว ยิ่งได้มาลองรุ่น HASTE ตัวนี้ ต้องบอกเลยว่ากลายเป็นตัวโปรดของผมเลย เนื่องด้วยรูปแบบที่จับดูครั้งแรก ก็รับรู้ได้เลยว่าเป็นทรงเม้าส์ที่ปรับตัวเข้ากับมันได้ง่าย ซึ่งทรงนี้ผม ok มาก (ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคลนะครับ) และด้วยการที่มันมีน้ำหนักที่เบา และจับถนัดมือพอดี ทำให้ผมรู้สึกใช้งานคล่องมือดีมาก ทั้งการทำงาน แต่งรูป และเล่นเกม MOBAs / FPS นั้น OK เลยคุมง่าย ไม่ต้องขยับมือมาก เพราะส่วนตัวแล้ว ผมเล่นเกม ถนัดแบบไม่ชอบกวาดเม้าส์เป็นวงกว้างมากนัก ผมชอบขยับแค่ข้อมือในการเล่น ไม่ใช่สายกวาด จึงตอบโจทย์ผมมาก (แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคนด้วยครับ)

 

Software : NGENUITY

แนะนำตัว Software กันอีกสักนิด โดยมีชื่อว่า HyperX NGENUITY สามารถโหลดติดตั้งในได้ Microsoft Store ได้เลยครับ โดยสามารถปรับแต่งการใช้งานกับอุปกรณ์ Gaming Gear ของทาง HyperX ที่รองรับได้ทุกรุ่นเลยครับ

 

สามารถปรับแต่งปุ่มต่างๆ ได้ทั้งหมด 6 ปุ่มด้วยกัน โดยแต่ละปุ่มก็สามารถปรับเปลี่ยน Program ได้ตามความต้องการของผู้ใช้ ว่าต้องการให้ปุ่มไหน เป็นการทำงานของอะไร

 

ในเรื่องของการปรับแต่ง Sensor นั้นสามารถตั้งความละเอียดได้ตั้งแต่ 200 DPI ไปจนถึง 16000 DPI โดยสามารถสร้าง DPI Step ได้สูงสุด 5 ระดับครับ

 

ค่า Polling Rate สามารตั้งได้สูงสุด 1000Hz

 

นอกจากนนี้ตัว Software ยังสามารถเป็นตัว Update Firmware ของอุปกรณ์ HyperX ได้ทุกรุ่นอีกด้วย หากมีการ Update ของ Firmware มันจะแจ้งเตือนให้ Update อุปกรณ์นั้นๆ ขึ้นมาทันทีครับ

 

Gaming performance

     ความรู้สึกจากการใช้งานจริง ขอเริ่มที่เกม COD MW ในโหมด Multi-Player นะครับ บอกเลยว่าพอใช้ได้เลยนะ สำหรับความคล่องตัวเพราะตัวเม้าส์นั้นเบามาก โดยสไตล์การเล่นของผม คือไม่ชอบกวาดเม้าส์ เน้นขยับข้อมูลและยกเม้าส์เอา โดยความละเอียดของ DPI ที่ผมถัดของเกมนี้ คือจะตั้งไว้ที่ 400 / 600 / 800 / 1600 DPI โดยที่ถนัด จะเป็นระดับ 400/600 DPI ซึ่งขึ้นอยูกับอาวุธปืนที่เราใช้ และการปรับแต่งปืนด้วย ว่าถนัดแบบไหน โนยรวมแล้วผมว่า OK ครับ  แต่อย่างไรก็ดี ถ้าให้เทียบกับของ HyperX เอง ผมว่ารุ่น Pulsefire RAID + Pixart 3389 Sensor ผมว่ามีความแม่นยำกว่าสำหรับการใช้งานของผม  แต่รุ่น HASTE นั้นได้เรื่องน้ำหนักเบา เหมาะกับความถนัดของตัวผู้เขียนเอง จึงบอกได้เลยว่า รักทั้ง 2 รุ่นเลย   แต่ถ้าเอามาทำงาน และเล่นเกม MOBAs ด้วย ผมว่าใช้ตัว HASTE นั้นเข้ามือผมว่าเยอะครับ (แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน)

     ส่วนข้อเสียของเม้าส์ที่เบาแบบนี้เลยก็คือ ต้องปรับตัวสักนิดสำหรับคนที่ใช้เม้าส์ที่มีน้ำหนักมาก่อน เพราะถ้าเล่นเกมแนว FPS. การเล็งเป้า หรือขยับ Cursor mouse อาจจะทำให้พลาดได้ เพราะน้ำหนักเบามาก ผมแนะนำให้เลือกใช้ความเร็ว DPI ที่ต่ำลง เช่น 800, 600 และ 400 DPI แล้วแต่ความถนัดเลยครับ โดยค่า DPI ต่ำ + เม้าส์เบา ทำให้ความคุมได้นิ่งขึ้น อย่างไรแล้วก็ต้องลองจูน/ปรับแต่งให้เข้ากับมือผู้ใช้แต่ละคนดูกันเสียเองถึงจะได้คำตอบที่ดีที่สุดครับ

 

Conslusion.

     เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับเกมมิ่งเม้าส์จากค่าย HyperX ในรุ่น Pulsefire HASTE Ultra-LightWeight Gaming Mose ตัวนี้ที่มีน้ำหนักเบาเพียง 59g เท่านั้นเอง โดยรูปทรงเป็นแบบสมมาตรจับได้ทั้งมือซ้าย/ขวา มีความคล่องตัวสูง ด้วยน้ำหนักที่เบา และยังมีการแถม Grip Tape ยางเสริมความหนึบมาให้ จึงทำให้มีการจับยึดกับมือเราได้ค่อนข้างดี ถึงเม้าส์จะมีความเบามาก… แต่ก็ไม่หลุดมือ/นิ้วง่ายๆ ครับ  ส่วนเรื่องการควบคุมนั้นผมว่าทำได้ค่อนข้างดีมากครับ ถ้าใครมีลักษณะการใช้งานเม้าส์แบบผม คือไม่ชอบกวาดเม้าส์ เน้นขยับแค่ข้อมือ น่าจะชอบอย่างแน่นอน….

     ส่วนความทนทานนั้นผมว่าทั้งตัว Body (Pure virgin-grade PTFE skates) และปุ่มกดก็ออกแบบมาได้ดีเลยนะครับ โดยเฉพาะปุ่ม Swtich กดแบบ TTC Golden micro dustproof สามารถกันฝุ่นได้ ทนแรงกดได้ถึง 60 ล้าน Click กันเลยทีเดียว เอาล่ะครับสำหรับเข้า HASTE ตัวนี้ผมว่ามันค่อนข้าง OK เลยสำหรับผม เพราะความคล่องตัวค่อนข้างมีสูงและปรับตัวเข้ากับมันได้ง่ายมากสำหรับเม้าส์ทรงนี้ อย่างไรแล้วถ้าใครกำลังมองหาเม้าส์ที่เน้นความเบาเป็นพิเศษ ลองพิจาณา HyperX Pulsefire HASTE ตัวนี้ก็กันครับ น่าจะถูกใจกันอย่างแน่นอน…  ส่วนราคานั้นบอกเลยว่าไม่แรงมากครับ ตัวละ 1,500.- บาทเท่านั้นเอง

 

Special Thanks

HYPERX